sportpooltoday

บันไดหรือเหว? : “โค้ชเจอร์ราร์ด” เจ๋งแค่ไหน?.. เหมาะกับ แอสตัน วิลล่า หรือไม่?


บันไดหรือเหว? : "โค้ชเจอร์ราร์ด" เจ๋งแค่ไหน?.. เหมาะกับ แอสตัน วิลล่า หรือไม่?

กุนซือแชมป์ไร้พ่ายแห่งลีกสกอตแลนด์อย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก้าวขึ้นมาเป็นนายใหญ่คนใหม่ของ แอสตัน วิลล่า เรียบร้อยแล้ว

เชื่อว่าหลายท่านที่กำลังอ่านบทความนี้คงไม่ได้มีโอกาสชมเกมการแข่งขันของ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในยุคที่มี สตีเว่น เจอร์ราร์ด คุมทีมมากนัก ซึ่งก็แน่นอนว่าการจะหาชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลสกอตแลนด์ หรือ ยูโรปา ลีก นั้นค่อนข้างยากอยู่ ดังนั้น เราคงต้อง “มองเขาจากคนที่เคยร่วมงานด้วย” 

Main Stand จะมาส่องวิธีการวางแทคติก วิธีการควบคุมนักเตะ และการสร้างทีมในแบบฉบับ “โค้ชเจอร์ราร์ด” ว่าเป็นอย่างไร? จะเหมาะสมกับงานชิ้นใหม่ของเขาหรือไม่? ติดตามได้ที่นี่

เจอร์ราร์ด สไตล์ไหน? 

เจอร์ราร์ด สมัยยังเป็นนักเตะอาจจะออกแนวกัปตันทีมสายลุยบู๊แหลก แต่ในความเป็นจริง เรื่องของกึ๋นและความใส่ใจในแทคติกก็ถือว่าเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากๆ 

ในช่วงที่เล่นให้กับลิเวอร์พูล เจอร์ราร์ด ได้ร่วมงานกับโค้ชอย่าง เชราร์ อุลลิเยร์, รอย ฮอดจ์สัน, เคนนี่ ดัลกลิช และ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส แต่ไม่มีกุนซือคนไหนที่เข้ากับเขาได้ดีในเรื่องของการสอนและแทคติกได้เท่ากับ ราฟา เบนิเตซ อีกแล้ว

1เบนิเตซ ถือเป็นกุนซือที่พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 5 ในปี 2005 สิ่งที่ทำให้เขาเล่นเกมแบบนัดต่อนัดเก่งขนาดนั้นก็เพราะว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแทคติกเบอร์ต้นๆของโลก ณ เวลานั้น เจอร์ราร์ด ใช้เวลาที่ร่วมงานกันเป็นกาวประสานระหว่างกุนซือกับนักเตะในทีม และนั่นทำให้เขาได้ซึมซับเรื่องแทคติกฟุตบอลจาก “เอล บอส” มาไม่น้อย

“ตอนที่ผมเข้ามาทำลิเวอร์พูล ผมชวนนักเตะทุกคนมาเข้าประชุมกันเพื่อบอกแนวทางที่เราจะเล่น ผมพยายามวาดแทคติกในหัวผมให้ทุกคนรู้ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ทีเป็นกัปตันทีม” ราฟา เริ่มกล่าว

“เราไม่ได้คุยกันเรื่องวัฒนธรรมประเพณีหรือกฎระเบียบอะไรเลย คุณเชื่อไหม สิ่งที่ผมกับเจอร์ราร์ดถกกันตลอดทั้งวันคือเรื่องแทคติกของผม สตีวี่ กระตือรือร้นมากๆ และนั่นแหละผมว่าเป็นเหตุผลที่เขาจะกลายเป็นผู้จัดการทีมในอนาคตได้ เขาสนใจใคร่รู้ในสิ่งที่บางทีเขาไม่จำเป็นต้องทำด้วยซ้ำ”

หลังจากแขวนสตั๊ดกับ แอลเอ กาแล็กซี่ ในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา เจอร์ราร์ด เริ่มจับงานคุมทีมเป็นโค้ชเยาวชนของลิเวอร์พูล ทีมอู่ข้าวอู่น้ำของเจ้าตัวเอง เขาพาทีมชุดยู-18 ชนะ 7 เกมรวดในพรีเมียร์ลีก และผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มใน ยูฟ่า ยูธ ลีก ด้วยชัยชนะถึง 5 จาก 6 นัด และนักเตะที่อยู่ในทีมชุดนั้นที่ปัจจุบันก้าวสู่การเป็นแข้งชุดใหญ่ได้สำเร็จคือ เคอร์ติส โจนส์ กองกลางดาวรุ่งของทีมนั่นเอง

“เจอร์ราร์ด เป็นยังไง เคอร์ติส โจนส์ ก็เติบโตในทีมของเขามาแบบนั้นแหละ ที่ผมรู้มาคือตอนที่ โจนส์ ลงเล่นในชุดยู-18 เจอร์ราร์ด คือคนที่เข้มงวดกับเขามากๆ เพราะตอนที่เขายังเด็ก โจนส์ ค่อนข้างจะเป็นเด็กที่มีความเย่อหยิ่งเล็กน้อยเพราะเก่งกว่าใคร.. โชคดีมากที่ เจอร์ราร์ด จับเข่าคุยกับเขาและพาเขาออกมาจากจุดนั้น ผมอาจจะไม่เห็นทั้งหมดว่า เจอร์ราร์ด ปฏิบัติกับ โจนส์ แบบละเอียดอย่างไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ มันคือความหวังดีที่มาพร้อมกับความเข้มข้นและหนักหน่วงอย่างแน่นอน” มาร์ค ลอว์เรนสัน อดีตนักเตะลิเวอร์พูล กล่าว 

2คุณเริ่มจะเห็นภาพลางๆแล้วว่า เจอร์ราร์ด ถือว่าเป็นโค้ชที่มีคุณสมบัติผู้สร้าง ตรงที่การพยายามแก้ไขทัศนคติของนักเตะในการดูแลของเขาเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปในแง่บวก การทำงานกับทีมเยาวชนอาจจะไม่ได้กดดันมากมายนัก แต่ก็มีความยากในแบบของมัน เพราะนักเตะที่เก่งมากๆจะถูกดันไปเล่นรุ่นอายุสูงขึ้น นั่นคือหน้าที่ของโค้ชที่ต้องแก้ปัญหา ไม่ว่าจะวิธีการหาใครมาเล่นแทน, เปลี่ยนแผน หรือใดๆก็ตาม 

ก้าวต่อไปของ เจอร์ราร์ด จะกดดันยิ่งกว่านี้มากๆ เมื่อเขารับข้อเสนอจาก กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ยักษ์หลับแห่งวงการฟุตบอลสกอตแลนด์ หลังจากที่โดนปรับตกชั้น จนต้องเสียเวลาไต่เต้าขึ้นมาใหม่หลายปี และปล่อยให้ กลาสโกว์ เซลติก คู่ปรับตลอดกาลสอยแชมป์ลีกเป็นว่าเล่น โดยเหตุผลที่ทางฝั่ง เรนเจอร์ส เลือก เจอร์ราร์ด นั่นก็เพราะว่าพวกเขาต้องการโค้ชรุ่นใหม่ที่มีแนวทางการทำทีมที่เน้นการดึงศักยภาพนักเตะภายในทีมเป็นหลัก เพราะ เรนเจอร์ส เองก็ไม่ได้มีเงินเยอะมากมาย

พวกเขาเสี่ยงกับ เจอร์ราร์ด และจากนั้นเทพนิยายแห่ง เรนเจอร์ส ก็เกิดขึ้น..

กว่าจะเป็นแชมป์ไร้พ่าย 

เจอร์ราร์ด เข้ามาทำทีม เรนเจอร์ส ครั้งแรกในฤดูกาล 2018-19 อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น สโมสรไม่ต้องการกดดันให้เขาคว้าแชมป์ตั้งแต่ปีแรก แต่สิ่งที่อยากเห็นคือการให้ เจอร์ราร์ด ทำแบบที่เขาเคยทำ นั่นคือการสร้างนักเตะในทีมให้มีทัศนคติของผู้ชนะและเป็นนักเตะที่ดีขึ้น ด้วยการดึงศักยภาพของทีมชุดนี้ที่ซ่อนอยู่ออกมาให้ได้  

3ทีมมีงบให้ทั้งหมด 2 ล้านปอนด์ และ เจอร์ราร์ด ต้องเล่นแร่แปรธาตุถ้าเขาอยากได้ทีมที่ต้องการ เขาเริ่มขายนักเตะที่ทำเงินได้อย่าง จอช วินดาสส์ ให้กับ วีแกน ได้เงินมา 2.5 ล้านปอนด์ และปล่อยกองหลังค่าเหนื่อยแพงที่สุดในทีมอย่าง บรูโน่ อัลเวส ให้กับ ปาร์ม่า นั่นทำให้เขาได้นักเตะเข้ามาในทีมถึง 12 คน (ขายออกไปทั้งหมด 11 คน) ในจำนวนนี้มีนักเตะ 6 คนที่เป็นตัวหลักของทีมจนถึงวันนี้หลังผ่านมาแล้ว 3 ปี.. ไม่เลวนักสำหรับตลาดแรกกับเงื่อนไขการสร้างทีมของเจอร์ราร์ด 

ปีแรก เจอร์ราร์ด ได้รับการชื่นชมมาก สามารถทำทีมจบที่ 2 ได้ตามเป้า และเรื่องสร้างทีมก็อย่างที่ได้กล่าวไป นักเตะในทีมเปลี่ยนโฉมหน้าไปเยอะ และแต่ละคนอายุยังน้อยๆทั้งนั้น ดูเหมือนทุกอย่างน่าจะง่ายดาย แต่ฤดูกาลต่อมา (2019-20) เจอร์ราร์ด ต้องได้เจอกับความกดดันในฐานะเฮดโค้ชจริงๆเสียที นั่นคือช่วงเวลาที่ทีมผลงานไม่เป็นใจ แทนที่จะขยับเข้าใกล้ เซลติก ให้มากกว่าเดิม กลายเป็นโดนทิ้งห่างถึง 13 แต้ม เสียแชมป์แบบโดนนำม้วนเดียวจบ นอกจากนี้แชมป์แรกในฐานะโค้ชก็ยังพลาดอีก ด้วยการโดน เซลติก ย้ำแค้นอีกดอกในรอบชิงชนะเลิศ สกอตติช ลีก คัพ

ณ เวลานั้น แฟนบอลของ เรนเจอร์ส ก็เริ่มสงสัยในตัว เจอร์ราร์ด ไม่น้อย เริ่มมีการพูดถึงประสบการณ์ของเขา และเป็นห่วงว่าทีมจะต้องตามหลัง เซลติก ไปอีกนาน ซึ่งตัว เจอร์ราร์ด เองก็เข้าใจในความคาดหวังนี้ดี เพียงแต่ว่าเขารู้ว่าโปรเจ็กต์ของเขายังคงอยู่ เขาต้องการเสริมทัพในแบบของเขา นั่นคือการหาคนที่อยากจะชนะจริงๆ ไม่ใช่แค่มาเล่นที่สกอตแลนด์ เพราะตกอับมาจากลีกอังกฤษอะไรทำนองนั้น 

4“ผมคิดแล้วคิดอีกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเจ็บปวดยิ่งกว่าใครกับผลงานในเกมนี้ ผมหวังอย่างยิ่งว่าจบเกมเราจะเป็นผู้ชนะ และผมขอบอกตรงๆเลยว่า ผมไม่อาจประทับใจกับปฏิกิริยาของลูกทีมของผมในเกมนี้เลย” เขากล่าวหลังเกมแพ้ ฮาร์ทส์ ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย สกอตติช คัพ ในฤดูกาล 2019-20

“เราให้ทุกอย่างกับนักเตะของเรา ประคับประคองพวกเขาทั้งในและนอกสนาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่เป็นไปในทิศทางที่เราอยากให้เป็นนัก ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านี่คือช่วงเวลาที่ยากเย็นที่สุดในชีวิตผู้จัดการทีมของผมเลย”  

นักเตะคนใดที่ไม่ได้ใช้และไม่ตรงกับแผน เจอร์ราร์ด ปล่อยออกหมดเกลี้ยง ขณะที่ตัวหลักๆที่ยังอยู่ เจอร์ราร์ด สามารถพูดได้เต็มปากจริงๆว่า “นี่คือกลุ่มนักเตะของผม” หนึ่งในนั้นคือ เจมส์ ทาเวอร์เนียร์ แบ็กขวากัปตันทีม ผู้เป็นดาวซัลโว (ยิง 19 ลูก) ในฤดูกาล 2020-21

ทาวาเนียร์ คือนักเตะที่แฟนบอลให้ความเคารพมาก ในปีที่ เจอร์ราร์ด พาทีมฟอร์มตก ทาเวอร์เนียร์ เป็นแนวหน้าและออกมากระตุ้นแฟนบอลว่า “เรากำลังไปในทิศทางที่ถูกต้อง” สิ่งที่โค้ชอย่าง เจอร์ราร์ด ต้องการคือแรงสนับสนุนจากกองเชียร์ และอีกไม่นานทุกคนจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นแน่นอน 

5“ผมอยากให้แฟนบอลของเราสนับสนุนเขามากกว่านี้หน่อย มันคงไม่ดีนักที่คนหนึ่งจะโดนกดจนจมดินในระหว่างการทำงานที่กำลังผลักดันทุกอย่างไปข้างหน้า”

“เจอร์ราร์ด มีมาตรฐานสูงที่สุดเท่าที่ผมเคยเล่นให้กับทีมๆนี้ เขาปลูกฝังเด็กๆของเรา เขามีวิธีการและแทคติกเป็นของตัวเอง ผมอยากให้ทุกคนตั้งตารอสิ่งนั้น” ทาเวอร์เนียร์ กล่าว

ปีนั้น เจอร์ราร์ด ได้รับบทเรียนอะไรหลายๆอย่าง การเติมนักเตะที่มีความกระหาย และเล่นบอลในแบบฟุตบอลสมัยใหม่ที่ต้องมีเกมรับที่แข็งแกร่งช่วยกันเล่นทั้งทีม ซึ่งต้องเป็นนักเตะที่ฟิตมากๆจึงจะรับระบบนี้ได้ เจอร์ราร์ด ได้จ้างฟิตเนสโค้ชใหม่ จอร์แดน มิลซอม ที่เคยร่วมงานกันสมัยอยู่กับลิเวอร์พูลเข้ามาสู่ทีม

ขณะที่เกมรุกก็ต้องเล่นให้หลากหลาย ไม่ใช่แค่การเปิดโหม่งเล่นไดเร็กต์แบบสกอตติชแท้ๆอย่างเดียว เรนเจอร์ส ในแบบของ เจอร์ราร์ด จึงดึงนักเตะเกมรุกที่เข้ามาสร้างความแตกต่างเพิ่มขึ้นทั้ง ยานิส ฮาจี้, เจอร์เมน เดโฟ และ เคมาร์ รูฟ สุดท้าย เจอร์ราร์ด ปลุกทีม เรนเจอร์ส ชุดที่สุกงอมที่สุดสำเร็จจนได้ในฤดูกาล 2020-21

สถิติแชมป์ไร้พ่ายในลีก เสมอแค่ 6 ที่เหลือชนะรวด เสียประตูแค่ 13 ลูก ยิงได้ 92 ลูก เก็บแต้มไปทั้งหมด 102 แต้ม ทิ้งห่าง เซลติก ขาดลอยที่สุดแบบไม่เคยมีมาก่อนถึง 25 แต้ม.. นั่นคือสิ่งที่ เจอร์ราร์ด ทำ มันตรงกับที่ เจมส์ ทาเวอร์เนียร์ บอกแฟนๆของพวกเขาว่าสิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่ แค่อดใจรอกันสักหน่อยเท่านั้น 

6ช่วงเวลา 3 ปีที่เรนเจอร์ส เจอร์ราร์ดไม่ได้เจองานง่ายอย่างที่ใครคิด แม้การแข่งขันจะไม่ได้เข้มข้นเหมือนพรีเมียร์ลีก แต่สิ่งหนึ่งที่เขาทำได้แน่ๆ คือการกุมลูกทีมไว้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน มีแนวทางการเล่นฟุตบอลในแบบที่ทันสมัย เพรสซิ่งทั้งเกมรุกและรับ วิ่งเยอะที่สุด และต้องวิ่งพร้อมกันทั้งทีม เหนือสิ่งอื่นใดคือการบริหารคนแบบไม่มีการถนอมน้ำใจหรือสงสารกันจนเสียเรื่องเสียราว

เห็นจุดอ่อนต้องแก้ เห็นจุดแข็งยิ่งต้องทำให้เด่นยิ่งกว่าเดิม.. นี่แหละคือสไตล์ของ เจอร์ราร์ด ก่อนที่เขาจะโยกมาคุม แอสตัน วิลล่า ในเวลานี้

แอสตัน วิลล่า บันไดหรือเหว? 

เจอร์ราร์ด เข้ามารับงานกับ แอสตัน วิลล่า แทนที่ของ ดีน สมิธ หลังทำฟอร์มย่ำแย่แพ้มา 5 เกมติดต่อกัน.. สิ่งหนึ่งที่ เจอร์ราร์ด จะได้จากทีมใหม่แน่ๆคือนักเตะที่เก่งขึ้นแบบที่เขาต้องการ ซึ่งหลักๆแล้วนี่คือการยกระดับในหน้าที่การงานแบบที่เขาปฏิเสธไม่ได้ 

7เจอร์ราร์ด ถือว่าทำได้ดีที่สุดแล้วในตอนคุม เรนเจอร์ส โดยเจ้าตัวยืนยันว่าหากจะให้ทีมไปไกลถึงระดับเข้ารอบลึกๆฟุตบอลยุโรปและได้แชมป์ทุกรายการในประเทศ ทีมจะต้องใช้เงินเสริมทัพอีกเยอะมาก ซึ่งนั่นไม่เข้ากับสถานการณ์ของโลกฟุตบอลปัจจุบัน ที่เพิ่งตั้งไข่กันอีกครั้งหลังเหตุการณ์ระบาดของโควิด-19

ดังนั้น แอสตัน วิลล่า ที่มีงบประมาณสร้างทีมมากกว่า มีนักเตะที่มีคุณภาพกว่า และบอร์ดบริหารก็พร้อมสนับสนุนการทำงานของเขาเต็มที่ คือเหตุผลที่ทำให้ เจอร์ราร์ด ตกลงรับข้อเสนอนี้

เราได้บอกสิ่งที่ เจอร์ราร์ด ถนัดและสไตล์การสร้างทีมของเขาไปแล้ว ทีนี้เราก็ต้องมาดูกันว่า แอสตัน วิลล่า ชุดนี้ขาดอะไรไป และ เจอร์ราร์ด จะเหมาะสมหรือไม่? 

Sky Sports วิเคราะห์ความล้มเหลวของ ดีน สมิธ กับ วิลล่า ครั้งนี้ว่า เขาระเริงกับเงินที่ได้มาจากการขาย แจ็ค กรีลิช ในราคา 100 ล้านปอนด์มากเกินไป เขาเอาเงินไปซื้อนักเตะมาต่อยอดผลงานในปีที่แล้ว แต่เป็นการซื้อมาแล้วต้องเปลี่ยนวิธีการเล่น ซึ่งหลายอย่างไม่เวิร์ก เช่นการซื้อ แดนนี่ อิงส์ มาในราคา 30 ล้านปอนด์ ทั้งๆที่มีดาวซัลโวอย่าง โอลลี่ วัตกินส์ อยู่แล้ว จนทีมต้องปรับแผนการเล่นใหม่และออกมาไม่เวิร์กเลย แทนที่จะยิงประตูได้มากขึ้น กลายเป็นการเสียสมดุลทั้งเกมรับและเกมรุกไป 

ขณะที่นักเตะในเกมรุกมีค่าตัวรวมกัน 60 ล้านปอนด์อย่าง ลีออน ไบลี่ย์ และ เอมิลิโน่ บูเอนเดีย ก็ไม่ต่างกัน ไม่มีใครยึดตัวจริงได้ตามที่หวัง ทีมยังต้องใช้นักเตะอย่าง อันวาร์ เอล กาซี่ ปีกคนเดิมต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ วิลล่า ขาดหายไปคือความกระหาย เมื่อเด็กถิ่นอย่าง กรีลิช ออกจากทีมไป พวกเขาก็มีแต่นักเตะหน้าใหม่ที่ซื้อมาจากทีมอื่นๆทั้งสิ้น 

8ตอนนี้ แอสตัน วิลล่า มีนักเตะชุดใหญ่ที่สร้างขึ้นมาเองและอยู่ในโควตาโฮมโกรนรายเดียวเท่านั้นคือ เจค็อบ แรมซี่ย์ ซึ่งจุดนี้ทางทีมวิเคราะห์ของ Sky มองว่าทำให้ความมุ่งมั่นในสนามขาดหายไป เพราะไม่มีนักเตะตัวหลักที่มี DNA ของทีมจริงๆ 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ เจอร์ราร์ด จะต้องเจอ ซึ่งก็ดูจะเข้ากับสิ่งที่เขาเคยทำมาก่อนสมัยอยู่กับ เรนเจอร์ส เขามีเด็กหนุ่มอย่าง ลีออน ไบลี่ย์ ที่ต้องแก้ไขทัศนคติเป็น “ทีมเพลเยอร์” ให้ได้เหมือนที่เคยเปลี่ยน เคอร์ติส โจนส์ นอกจากนี้ เขาจะต้องทำให้นักเตะเกมรุกคนอื่นๆ เช่น บูเอนเดีย หรือ อิงส์ ขยันและทำมากกว่าหน้าที่ของตัวเองไปบ้าง เหมือนกับที่เคยใช้แนวทางนี้ที่ เรนเจอร์ส มาก่อน

สิ่งที่ยากที่สุดคือการสร้างวัฒนธรรมการ “อยากชนะ” ให้นักเตะทุกคน คิดเสมอว่าไม่มีสิ่งใดน่าพอใจไปกว่าการได้คว้า 3 แต้ม การลงสนามด้วยความมั่นใจคือกุญแจสำคัญ หากบริหารห้องแต่งตัวได้ไม่ดี ปล่อยให้นักเตะใหญ่กว่าทีม ลงสนามไปด้วยการไร้ความกระหายนั่นก็เปรียบเหมือนการแพ้ตั้งแต่มุ้งยังไม่กาง 

9ทั้งหมดคือสิ่งที่ เจอร์ราร์ด เคยเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จมาแล้วในงานที่สกอตแลนด์ของเขา แต่ฟุตบอลไม่สามารถมาเทียบบัญญัติไตรยางค์ได้ เราไม่สามารถเอา วิลล่า มาเทียบกับ เรนเจอร์ส ได้ เพราะเรื่องความกดดันนั้นต่างกันพอสมควร 

เจอร์ราร์ด จะต้องกดดันแน่กับงานระดับพรีเมียร์ลีกที่เน้นกันทุกนัด จุดนี้เขาจะต้องเค้นทุกสิ่งที่เคยผ่านมาจากประสบการณ์ออกมาใช้ รวมถึงคิดต่อยอดในการแข่งขันระดับที่ต้องใช้กึ๋นและแทคติกมากกว่าที่เคย งานชิ้นนี้จะสำเร็จได้ไม่ใช่แค่เขาทำให้นักเตะในทีมพัฒนาขึ้น แต่เขาต้องเป็น เจอร์ราร์ด ในแบบฉบับที่เก่งยิ่งกว่าตอนที่ตัวเองเป็นแชมป์ไร้พ่ายที่สกอตแลนด์อีกด้วย

แม้หน้าที่และเนื้องานดูจะเหมาะและลงตัว แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรที่สามารถฟันธงได้ เจอร์ราร์ด เจองานที่เหมาะกับงานที่เขาอยากจะทำแล้ว แต่หลังจากนี้เราต้องมาพิสูจน์กันว่า เขาจะมีฝีมือพอจะรับผิดชอบงานที่ตัวเองคาดหวังหรือไม่?